เมนู

[740] ใคร ๆ ผู้เป็นมิตรและอำมาตย์ของพระ-
ราชานี้ ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่จะ
ทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์
พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเสียเลย ก็
ไม่มี.
[741] ใคร ๆ ผู้เป็นมิตรและพระญาติของพระ-
ราชานี้ ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่ห้าม
พระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์พระราช-
บุตรที่เกิดจากพระองค์เสียเลย ก็ไม่มี.
[742] แขนของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาท
แห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์แดง
มาขาดไปเสีย ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิตของ
หม่อมฉันก็คงจะดับไป.

จบ จุลลธรรมปาลชาดกที่ 8

อรรถกถาจุลลธรรมปาลชาดกที่ 8


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
การพยายามของพระเทวทัต เพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์ จึงตรัส
พระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหเมว ทูสิยา ภูนหตา ดังนี้.
ในชาดกอื่น ๆ พระเทวทัตไม่ได้อาจเพื่อจะทำ แม้มาตรว่าความ

สะดุ้งแก่พระโพธิสัตว์. ส่วนในจุลลธรรมปาลชาดกนี้ พระเทวทัตให้.
ตัดมือ เท้า และศีรษะและให้ทำกรรมกรณ์ชื่ออสิมาลกะ1 ในเวลาที่
พระโพธิสัตว์มีอายุ 7 เดือน. ในทัททรชาดก พระเทวทัตหักคอให้
ตายแล้วปิ้งเนื้อบนเตากิน. ในขันติวาทีชาดก ให้เอาแช่หวายสองเส้น
เฆี่ยนพันครั้ง ให้ตัดมือ เท้า หู และจมูก แล้วจับที่ชฎาดึงมาให้
นอนหงาย กระทืบที่อกแล้วไป. พระโพธิสัตว์ถึงความสิ้นชีวิต ใน
วันนั้นเอง. ในจุลลนันทิกชาดกก็ดี ในมหากปิชาดกก็ดี ได้แต่ฆ่า
ให้ตายเท่านั้น. พระเทวทัตนี้ พยายามปลงพระชนม์อยู่ตลอดกาลนาน
ด้วยประการอย่างนี้ ในครั้งพุทธกาล ได้พยายามอยู่เหมือนกัน อยู่
มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโส
ทั้งหลาย พระเทวทัตกระทำอุบายเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเท่า
นั้น พระเทวทัตคิดว่า จักปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึง
ประกอบนายขมังธนูกลิ้งศิลา และให้ปล่อยช้างนาฬาคิรี. พระศาสดา
เสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนาด้วย
เรื่องอะไรในบัดนี้ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบว่า เรื่องชื่อ
นี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้
ในกาลก่อน พระเทวทัตก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน แต่ว่า ในบัดนี้
พระเทวทัตไม่อาจทำแม้สักว่าความสะดุ้งตกใจ ในกาลก่อน ในเวลา
ที่เราเป็นธรรมปาลกุมาร พระเทวทัตทำเราผู้เป็นบุตรของตนให้ถึง
1. กรรมกรณ์ ชนิดโยนซากศพขึ้นบนอากาศแล้วรับด้วยปลายดาบ ในฎีกาว่า
เอาดาบสับให้เนื้อละเอียด.

ความสิ้นชีวิต แล้วให้ทำกรรมกรณ์ชื่อ อสิมาลกะ ครั้นตรัสแล้ว
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ามหาปตาปะ ครองราชสมบัติอยู่ใน
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวี
อัครมเหสีของพระเจ้ามหาปตาปราชนั้น พระญาติทั้งหลายขนานนาม
พระโพธิสัตว์นั้นว่า ธรรมปาละ. ในเวลาที่ธรรมปาลกุมารนั้นมีอายุ
ได้ 7 เดือน พระมารดาให้สรงสนานธรรมปาลกุมารนั่นนั้น โดยน้ำ
ผสมด้วยของหอม แต่งพระองค์แล้วประทับนั่งให้เล่นอยู่. พระราชา
เสด็จมายังสถานที่พระเทวีนั้นประทับอยู่. พระเทวีนั้นให้พระโอรส
เล่นอยู่ เป็นผู้ทรงเปี่ยมด้วยความสิเนหา แม้ได้เห็นพระราชาก็
มิเสด็จลุกขึ้นรับ. พระราชานั้นทรงดำริว่า เดี๋ยวนี้ นางจันทานี้
กระทำมานะถือตัวเพราะอาศัยบุตรก่อน ไม่สำคัญเราในเรื่องไร ๆ ก็
เมื่อบุตรเติบโตขึ้น นางจักไม่กระทำความสำคัญเราว่าเป็นมนุษย์ก็ได้
เราจักฆ่าเสียในบัดนี้แหละ. ท้าวเธอจึงเสด็จกลับไปประทับนั่งบน
ราชอาสน์ แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตมา โดยพระโองการว่า เพชฌ-
ฆาตจงมาโดยพิธีธรรมเนียมของตน. เพชฌฆาตนั้นจึงนุ่งห่มผ้าย้อม
น้ำฝาด ทัดทรงดอกไม้แดง แบกขวาน ถือท่อนไม้สำหรับวางพาดมือ
และเท้า มีปุ่มเป็นที่รองรับมาถวายบังคมพระราชากราบทูลว่า เทวะ
ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำอะไร ครั้นกราบทูลแล้ว ได้ยืนคอยรับ
พระบัญชาอยู่. พระราชารับสั่งว่า ท่านจงเข้าไปยังห้องอันมีสิริ
ของพระเทวี แล้วนำธรรมปาลกุมารมา. ฝ่ายพระเทวีทรงทราบว่า

พระราชาทรงกริ้วแล้วเสด็จกลับไป จึงให้พระโพธิสัตว์นอนแนบพระ-
อุระ ประทับนั่งทรงพระกรรแสงอยู่. นายเพชฌฆาตมาถึงเอามือตบ
พระปฤษฎางค์พระเทวีนั้นแล้ว ชิงพระกุมารไปจากพระหัตถ์ พามายัง
สำนักของพระราชาแล้วกราบทูลว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำ
อะไร. พระราชารับสั่งว่า ท่านจงให้นำเอาแผ่นกระดานมาแล้วให้
เรียบลงข้างหน้า แล้วให้กุมารนั้นนอนบนแผ่นกระดานนี้. นาย
เพชฌฆาตนั้นได้กระทำตามรับสั่งอย่างนั้น. พระนางจันทาเทวีทรง
ปริเทวนาการร่ำไรมาข้างหลังพระโอรสนั่นแล. เพชฌฆาตกราบทูล
อีกว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำอะไร. พระราชารับสั่งว่า จง
ตัดมือทั้งสองของธรรมปาลกุมาร. พระนางจันทาเทวีกราบทูลว่า ข้า
แต่มหาราช บุตรของหม่อมฉันเพิ่งมีอายุได้ 7 เดือน ยังอ่อนอยู่ ไม่
รู้อะไร บุตรของหม่อมฉันนั้น ไม่มีโทษผิด ก็โทษผิดแม้จะยิ่งใหญ่ก็
ควรจะมีในหม่อมฉัน เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงรับสั่งให้ตัดมือทั้ง
สองของหม่อมฉันเถิด เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ จึงกล่าวคาถา
ที่ 1 ว่า :-
หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำ
ความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม-
ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดมือทั้ง
สองของหม่อมฉันเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูสิยา ได้แก่ ผู้ทําให้เสียหาย
อธิบายว่า เห็นพระองค์แล้วไม่ลุกขึ้นรับ ชื่อว่าผู้กระทำผิด. บาลีว่า
ทูสิกา ดังนี้ก็มี เนื้อความก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ภูนหตา ได้แก่
ขจัดความเจริญ อธิบายว่า กำจัดความเจริญ. บทว่า รญฺโญ พึง
ประกอบกับบทว่า ทูสิยา. ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า หม่อมฉันทำความ
ผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ มิใช่กุมารนี้ เพราะฉะนั้น ขอพระองค์โปรด
ปลดปล่อยธรรมปาละ ผู้ยังอ่อนหาความผิดมิได้นี้เสียเถิด ก็ถ้าพระ-
องค์ประสงค์จะตัดมือทั้งสอง ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงตัดมือ
ทั้งสองของหม่อมฉัน ผู้กระทำผิด.
พระราชาทรงแลดูนายเพชฌฆาตๆ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติ-
เทพ ข้าพระองค์จะการทำอย่างไร. พระราชาตรัสว่า ท่านอย่าชักช้า
จงตัดมือทั้งสองเสีย. ขณะนั้น นายเพชฌฆาตถือขวานอันคมกล้า
ตัดมือทั้งสองของพระกุมารเหมือนตัดหน่อไม้อ่อนฉะนั้น. เมื่อนาย
เพชฌฆาตตัดมือทั้งสองอยู่ ธรรมปาลกุมารนั้น ไม่ร้องไห้ ไม่ร่ำไร
กระทำขันติและเมตตาให้เป็นปุเรจาริก อดกลั้นอยู่. ส่วนพระนาง-
จันทาเทวีถือเอาปลายมือที่ขาดใส่ไว้ในพก มีโลหิตไหลอาบพระองค์
ทรงเที่ยวปริเทวนาการอยู่. นายเพชฌฆาตทูลถามอีกว่า ข้าแต่สมมติ
เทพ ข้าพระองค์จะทำอะไร. พระราชาตรัสว่า จงตัดเท้าทั้งสองเสีย.
พระนางจันทาเทวีได้สดับดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-

หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำ
ความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม-
ปาลกุมารนั้นเสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดเท้า
ของหม่อมฉันเถิด.

อธิบายในคาถาที่ 2 นั้น พึงทราบโดยนัยคาถาแรกนั่นแล.
ฝ่ายพระราชาทรงสั่งบังคับเพชฌฆาตอีก. นายเพชฌฆาตนั้น
ได้ตัดเท้าทั้งสองขาด. พระนางจันทาเทวีถือเอาปลายเท้าใส่ไว้ในพก
มีโลหิตโซมกาย ทรงร่ำไห้กราบทูลว่า ข้าแต่พระเจ้ามหาปตาปะผู้เป็น
พระสวามี ทารกชื่อว่ามีมือและเท้าอันพระองค์ให้ตัดแล้ว อันมารดา
จำต้องเลี้ยงดูมิใช่หรือ หม่อมฉันจักรับจ้างเลี้ยงบุตรของหม่อมฉัน ขอ
พระองค์จงประทานบุตรนั่นแก่หม่อมฉันเถิด. นายเพชฌฆาตกราบ-
ทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์กระทำตามพระราชอาชญาแล้ว
กิจของข้าพระองค์เสร็จแล้วหรือ ? พระราชาตรัสว่า ยังไม่เสร็จก่อน.
นายเพชฌฆาตกราบทูลว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะทำอะไร.
พระราชาตรัสว่า จงตัดศีรษะธรรมปาลกุมารนี้. ลำดับนั้น พระนาง-
จันทาเทวี จึงกล่าวคาถาที่ 3 ว่า :-
หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำ
ความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม-

ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดศีรษะ
ของหม่อมฉันเถิด.

ก็แหละครั้นตรัสแล้ว พระนางจึงน้อมศีรษะเข้าไป. เพชฌฆาต
กราบทูลถามพระราชาอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะกระทำ
อะไร ? พระราชาตรัสว่า จงตัดศีรษะของธรรมปาลกุมารนั้นเสีย. นาย
เพชฌฆาตนั้นครั้นตัดศีรษะแล้ว จึงกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ
ข้าพระองค์กระทำตามพระราชอาชญาแล้วหรือ. พระราชาตรัสว่า ยัง
ไม่ได้กระทำก่อน. นายเพชฌฆาตกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะกระทำอะไรอีก ? พระราชาตรัสว่า ท่าน
จงเอาปลายดาบรับร่างธรรมปาลกุมารนั้น กระทำกรรมกรณ์ชื่อ อสิ-
มาลกะ. นายเพชฌฆาตนั้นจึงโยนร่างของธรรมปาลกุมารนั้นขึ้นไปใน
อากาศ แล้วเอาปลายดาบรับร่างของธรรมปาลกุมารนั้น กระทำกรรม
กรณ์ชื่อ อสิมาลกะ แล้วโปรยลงที่ท้องพระโรง. พระนางจันทาเทวีจึง
ใส่เนื้อของพระโพธิสัตว์ไว้ในพก ทรงร้องไห้คร่ำครวญได้กล่าวคาถา
เหล่านี้ว่า :-
ใครๆ ผู้เป็นมิตรและอํามาตย์ของพระ-
ราชานั้น ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่จะ
ทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์
พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเลย ก็ไม่มี.

ใคร ๆ ผู้เป็นมิตร และพระญาติของ
พระราชานั้น ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่
จะทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์
พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเลย ก็ไม่มี.
แขนของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาท
แห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทร์แดง
มาขาดไปเสีย ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิตของ
หม่อมฉันก็คงจะดับไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิตฺตามจฺจา จ วิชฺชเร ความว่า
ใครๆ ผู้เป็นมิตรสนิทของพระราชานี้ หรืออำมาตย์ผู้ร่วมในกิจทั้งปวง
หรือผู้ที่ชื่อว่ามีใจดี เพราะมีหทัยอ่อนโยน จะไม่มีแน่นอน. บทว่า เย
น วทนฺติ
ความว่า ชนเหล่าใดมาทันเวลา ไม่พูด คือห้ามพระราชา
นี้ว่า อย่าปลงพระชนม์พระปิโยรสของพระองค์ ชนเหล่านั้น เรา
เข้าใจว่า ไม่มีเลย. บทว่า ญาตี ในคาถาที่ 2 ได้แก่ญาติหลายคน.
ก็พระนางจันทาเทวี ครั้นกล่าวคาถา 2 คาถานี้แล้ว จึงกล่าว
คาถาที่ 3 ว่า :-
พระพาหาทั้งสองของธรรมปาลกุมารผู้
เป็นทายาทแห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่น
จันทร์แดง มาขาดไป ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิต
ของหม่อมฉันก็คงจะดับไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทายาทสฺส ปฐพฺยา ความว่า
พระนางจันทาเทวีรำพันคำมีอาทิอย่างนี้ว่า มือของทายาทแห่งแผ่นดิน
มีมหาสมุทรทั้ง 4 เป็นขอบเขต อันเป็นของพระบิดา ซึ่งไล้ทาด้วย
แก่นจันทร์แดงขาดไป เท้าขาด ศีรษะขาดทั้งถูกลงกรรมกรณ์ชื่ออสิมา
ลกะ บัดนี้ พระองค์ได้ตัดวงศ์ของพระองค์เอง ดังนี้ จึงตรัสอย่างนั้น.
บทว่า ปาณา เม เทว รุชฺฌติ ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อ
หม่อมฉันไม่อาจสามารถกลั้นความโศกนี้ได้ ชีวิตคงจะดับไป.
เมื่อพระนางทรงร่ำไห้อยู่อย่างนั้น พระหทัยก็แตกไป เหมือน
ไม้ไผ่ถูกไฟไหม้อยู่อย่างนั้นฉะนั้น พระนางได้ถึงความสิ้นพระชนม์
ลง ณ ที่นั้นเอง. ฝ่ายพระราชาก็ไม่อาจดำรงอยู่บนบัลลังก์ได้ จึงตก
ลงไปที่ท้องพระโรง. พื้นที่อันเรียบสนิทแยกออกเป็นสองภาค. พระ-
เจ้ามหาปตาปะนั้นพลัดตกจากพื้นเรียบแม้นั้นถึงพื้นดิน. แต่นั้น แผ่น
ดินทึบหนาถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ไม่อาจรองรับโทษผิดของพระ-
ราชานั้นได้ จึงได้แยกให้ช่อง. เปลวไฟตั้งขึ้นจากอเวจีมหานรก หอบ
เอาพระเจ้ามหาปตาปะไปโยนลงในอเวจีมหานรก ประดุจหุ้มด้วยผ้า
กัมพลที่ตระกูลมอบให้ฉะนั้น. ส่วนพระนางจันทาเทวี และพระโพธิ-
สัตว์ อำมาตย์ทั้งหลายได้ปลงพระศพให้แล้ว.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึง
ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต พระ-
นางจันทาเทวี ได้เป็นพระมหาปชาบดีโคตมี ส่วนธรรมปาลกุมาร
ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาจุลลธรรมปาลชาดกที่ 8

9. สุวรรณมิคชาดก


ว่าด้วยเนื้อติดบ่วงนายพราน


[743] ข้าแต่เนื้อผู้มีกำลังมาก ท่านจงพยายาม
ดึงบ่วงออก ข้าแต่ท่านผู้มีเท้าดุจทองคำ ท่าน
จงพยายามคือบ่วงที่ติดแน่นให้ขาดเถิด ฉัน
ผู้เดียวจะไม่พึงยินดีอยู่ในป่า.
[744] ฉันพยายามดึงอยู่ แต่ไม่สามารถจะ
ทำบ่วงให้ขาดได้ ฉันเอาเท้าตะกุยแผ่นดิน
ด้วยกำลังแรง บ่วงติดแน่นเหลือเกิน จึง
ครูดเอาเท้าของฉันเข้า.
[745] ข้าแต่นายพราน ท่านจงปูใบไม้ลง จง
ชักดาบออก จงฆ่าฉันเสียก่อน แล้วจึงฆ่า
พระยาเนื้อต่อภายหลัง.
[746] เราไม่เคยได้ยินได้ฟัง หรือได้เห็นเนื้อ
ที่พูดภาษามนุษย์ได้ แน่ะนางผู้มีหน้าอันเจริญ
ตัวท่านและพระยาเนื้อนี้จงเป็นสุขเถิด.
[747] ข้าแต่นายพราน วันนี้ฉันเห็นพระยา-
เนื้อหลุดพ้นมาได้แล้วย่อมชื่นชมยินดี ฉันใด